วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2557

อดัมกับอีฟ และสวนเอเดน

                          อดัมกับอีฟ และสวนเอเดน




ตำนานสวนเอเดน
เรื่องเกี่ยวกับกำเนิดของอาดัมและอีฟ และการถูกอัปเปหิออกจากแดนสวรรค์ที่พระเจ้าเนรมิตขึ้นให้อาศัยอยู่ ตามที่เล่าในคัมภีร์ไบเบิลเล่มปฐมกาลนั้นน กล่าวได้ว่าเป็นใจความสำคัญอย่างหนึ่งของศาสนาคริสต์ ยูดาย เลยทีเดียว ความคิดเรื่องสวนสวรรค์อีเดน ติดตรึงอยู่ในจินตนาการสร้างสรรค์ของศิลปินและนักประพันธ์มาหลายยุคหลายสมัย สืบเนื่องกันมานานหลายศตวรรษแล้ว

อาดัมกับอีฟที่ถูกมารร้ายลวงล่อให้กินผลไม้แห่งความรู้  เรื่องราวของเอเดนนั้น มาจากจารึกตำนานของชาวสุเมเรียน ซึ่งกล่าวถึงดินแดนแห่งพระเจ้า Eridu ที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาจากที่นั่น ตำนานของชาวอินคาก็มีเรื่องราวที่คล้ายๆกัน ว่าด้วยการสร้างมนุษย์โดยเทพจากห้วงเวหาวิราโคชา ที่ทะเลสาบติติคาคาในปัจจุบัน ว่าตามความเชื่อของคริสตศาสนิกชน ตามไบเบิลฉบับปฐมกาล และตามเรื่องราวของชาวยิวโบราณหรือฮีบรูว์นั้น กล่าวถึงสวนสวรรค์เอเดนกันว่าอย่างไร สวนสวรรค์เอเดนซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดในโลกแห่งนี้ สุขสงบสวยงามอุดมไปด้วยน้ำ อาหารการกิน อาดัมกับอีฟมีเพื่อนเป็น"!ทุกตัวในท้องทุ่งและนกทุกตัวในอากาศ" ที่คอยให้ความเพลิดเพลิน ต้นไม้ไพรพฤกษ์แผ่เงาร่มเย็น แม่น้ำเป็นประกายระยับไหลผ่านอุทยาน และเมื่อไหลพ้นแดนสวรรค์ก็แยกเป็นสายธารสี่สายคือ พิโชน กริโฮน ไทกริสและยูเฟรติส แม่น้ำสายสำคัญของอารยธรรมเมโสโปเตเมีย... รายละเอียดของสิ่งแวดล้อมที่บันทึกไว้ในไบเบิลมีเพียงเท่านี้ ส่วนที่เหลือคงแล้วแต่คนรุ่นหลังจะตีความ ต้นไม้ที่มีอยู่จริงแท้แน่นอนในสวนนี้ที่กล่าวถึงคือต้นมะเดื่อ แม้เรื่องเล่าภายหลังจะบอกว่าต้นอินทผลัมเป็นต้นไม้แห่งชีวิต และต้นกล้วยคือต้นไม้แห่งความรู้ก็ตามที

พอพูดถึงเอเดนคนมักจะคิดไปถึงสวนที่มีรั้วรอบขอบชิด อาจเป็นเพราะคำภาษากรีกว่า ปาราดิซอส(paradisos) ซึ่งหมายถึงสวนสวรรค์เอเดนนั้นแปลว่า "ที่ดินซึ่งปิดล้อมเอาไว้" จากต้นตอที่แทบไม่ได้บอกอะไรเอาไว้เหล่านี้ เหล่ากวี จิตกร นักโบราณคดี นักศาสนวิทยา จึงพากันตีความวาดภาพสวนสวรรค์เอเดน โดยใช้ข่าวลือเกร็ดเสริมจากแหล่งต่างๆตามความสามารถในการตีความของตน เรียกว่า ไม่มีใครทราบสภาพความเป็นไปอันแท้จริงของสวนสวรรค์นี้เลยก็ว่าได้
เรื่องเล่าเก่าแก่ที่สุดของสวรรค์บนดินอาจย้อนรอยสืบไปจนถึงประมาณ 2000 BC. ดินแดนที่เรียกว่า Dilmun ของชาวสุเมเรียนซึ่งตั้งอยู่ ณ ตำแหน่งของอาทิตย์อุทัยคือที่สถิตย์แห่งปวงเทพเจ้า เป็นสถานที่ซึ่งปราศจากความเศร้าโศก โรคภัย หรือแม้แต่ความแก่ชรา และเป็นที่ซึ่ง "ไม่มีใครได้ยินเสียงการ้อง" มีคำอ้างอิงที่แน่ชัดกว่าเกี่ยวกับสวนนี้ในมหากาพย์กิลกาเมชของชาวสุเมเรียน แม้ว่าจะดูคล้ายกับ"อุทยานของพระเจ้า" ในคัมภีร์ของ Ezekeil มากกว่าสวนสวรรค์เอเดนในบท Genesis ของไบเบิลก็ตามที ในมหากาพย์นี้กิลกาเมชตัวเอกของเรื่องเดินทางไปสู่ยอดเขา"อุทยานของพระเจ้า" ที่ต้นไม้มีอัญมณีประดับระยิบระยับออกผลเป็นโกเมน และมีใบเป็นหินลาพิซ ลาซูรี สีน้ำเงินเข้ม
คำพรรณนาเกี่ยวกับแดนสวรรค์ที่ไม่ได้มาจากพระคัมภีร์ไบเบิล แต่มีอิทธิพลอย่างมากต่อมโนความคิดของชาวคริสต์สมัยต่อมา เป็นคำพรรณนาของกวียุคคลาสสิคในสมัย 800 BC. โฮเมอร์มหากวีชาวกรีกกล่าวถึงดินแดน Elisium ซึ่งตั้งอยู่สุดปลายโลก ในเอลิเซียมนั้นหิมะไม่ตก มีเพียงสายลมแผ่วเบาชื่นใจ เฮซิออตผู้เป็นกวีร่วมสมัยเดียวกับโฮเมอร์บรรยายถึงเรื่องราวที่แตกต่างออกไป โดยพุ่งความสนใจไปที่สภาพความเป็นอยู่ที่สุขสงบมากกว่าจะพูดถึงตัวสถานที่เอง ชวนให้ผู้คนหวนรำลึกถึงยุคทองที่สงบสุขแห่งอดีต ผู้คนที่ไม่มีวันแก่เฒ่า ใช้ชีวิตโดยไม่ต้องทำงานหนัก อาศัยผลิตผลอันอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดินเป็นอาหารเช่นเดียวกับอาดัมและอีฟ ก่อนที่พวกเขาจะถูกขับออกมาจากสวนสวรรค์แห่งพระเจ้า... เอเดน
ทั้งโฮเมอร์และเฮซิออต ตลอดจนกวีรุ่นหลังชาวโรมันคือเวอร์จิลและโอวิดมีอิทธิพลใหญ่หลวงต่อการสร้างมโนภาพสวนสวรรค์เอเดน นับแต่ยุคคริสเตียนระยะแรกๆมาจนถึงยุคเรอเนอซองส์และยุคต่อจากนั้น จอห์น มิลตัน กวีชาวอังกฤษพรรณนาถึงสวนสวรรค์เอเดนอย่างละเอียดและมีสีสรรค์ ในมหากาพย์เรื่อง Paradise Lost หรือสวรรค์ล่ม สวรรค์ของมิลตันตั้งอยู่บนที่ราบสูงชัน มีกำแพงล้อมรอบ บนภูเขาปกคลุมด้วยต้นไม้สูงส่งกลิ่นหอมตลบไปทั่ว เต็มไปด้วยเสียงนกนานาชนิด ตามลำธารและอน้ำมีน้ำเหลือเฟือ ความเป็นอัจฉริยะของมิลตันนั้น อยู่การนำเนื้อหาจากทั้งในพระคัมภีร์ไบเบิลและที่อื่นมาผสมผสานกันอย่างแยบคาย บ่อน้ำที่ไม่มีวันเหือดแห้งซึ่งหล่อเลี้ยงสวนนี้กับพื้นดินอันอุดมสมบูรณ์ มีที่มาจากเรื่องราวของเอลิเซียมในสมัยคลาสสิคอย่างไม่ต้องสงสัย
สวนสวรรค์อันพูนพร้อมด้วยรูป รส กลิ่น เสียง นั้น เป็นลักษณะสวรรค์ของชาวมุสลิมที่อยู่บนสววรค์ชั้นฟ้ามากกว่าจะอยู่บนโลก ในคัมภีร์โกหร่านบอกว่ามุสลิมที่เคร่งครัดจะได้ขึ้นสวรรค์หลังจากตายไป และขึ้นไปอยู่ในอุทยานที่มีบ่อน้ำพุพรูพรั่งมีบ่อน้ำหอมหวานไหลริน ต้นปาล์มและทับทิมร่มรื่นเต็มสวน มีที่นอนอันอ่อนนุ่มให้เอนนอน คนที่ได้ขึ้นสวรรค์จะแต่งตัวในชุดผ้าไหมสีเขียว มีสาวพรหมจารีย์ที่งามราวกับทับทิมและปะการังมาปรนนิบัติด้วยอาหารในจานสีเงิน
ในขณะที่ชาวมุสลิมมุ่งเนรมิตสวรรค์บนโลกโดยการสร้างอุทยานอันสงบสุข ชาวคริสเตียนตั้งแต่ยุคแรกจนถึงยุคกลางก็มุ่งมั่นแต่จะค้นหาสวนสวรรค์เอเดน บางคนเชื่อว่าเอเดนถูกทำลายไปแล้วเมื่อครั้งน้ำท่วมโลก บ้างก็เชื่อว่าเอเดนอยู่บนภูเขาสูงไม่ได้รับผลกระทบจากมหาภัยครั้งกระนู้น ทว่าคนส่วนใหญ่มีความเห็นว่าเอเดนตั้งอยู่บนเกาะทางตะวันออก หลายคนก็สรุปว่าคือศรีลังกา เมื่อคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส อนุมานว่าโลกมันไม่ได้แบนแต่กลมเหมือนลูกแพร์ ทำให้หลายคนสรุปว่าอุทยานแห่งนี้ตั้งอยู่บนส่วน"ก้าน"ของลูกแพร์

ร่องรอยของสวนสวรรค์เอเดนนั้นอยู่หนใด เมโสโปเตเมีย?
เมื่อโลกสมัยหลังเจริญขึ้น มีการสำรวจมีการบันทึกถึงดินแดนต่างๆมากขึ้น ไม่มีใครสืบสาวราวร่องได้ว่าสวนสวรรค์เอเดนตั้งอยู่ที่ตรงไหน นักปราชญ์จึงย้อนกลับไปหาบท Genesis อีกครั้งเพื่อค้นหาสิ่งที่บอกร่องรอยที่ตั้งของสวนสวรรค์นี้ ดินแดนเมโสโปเตเมียหรือประเทศอิรัคในปัจจุบันนี้ ดูจะเป็นสิ่งที่เข้าเค้าและน่าค้นหามากที่สุด ทั้งนี้ก็เพราะแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติสที่ปรากฏในพระคัมภีร์ไหลผ่านบริเวณนี้นั่นเอง  ดินแดนเมโสโปเตเมียมันไม่ใช่เล็กๆ และแม่น้ำอีกสองสายในพระคัมภีร์คือพิโชนและกิโฮนก็ไม่ได้ปรากฎอยู่ จึงไม่อาจบ่งบอกตำแหน่งของสวนสวรรค์เอเดนได้ มีคนโยงเมืองเยรูซาเล็มกับกอลกอธาเข้ากับเอเดน เนื่องจากเกี่ยวข้องกับพระเยซูเป็นอย่างมาก และพระเยซูมักถูกขนานนามว่าอาดัมคนที่สอง จึงน่าจะสมเหตุสมผลที่โยงสวรรค์เอเดนเข้ากับเมืองเหล่านี้ แต่หลักฐานอ่อนมากๆครับจึงตกไป ปมปัญหาจึงน่าจะอยู่ที่บันทึกของสุเมเรียน อันกล่าวถึงเอเดนหรือ Eridu เป็นแหล่งแรกในโลก แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีใครสาวร่องรอยนี้พบ
และการที่ไม่มีใครค้นหาเอเดนพบนี่เอง ชาวคริสต์ในสมัยหลังๆ จึงตามรอยชาวมุสลิมคือพยายามมโนภาพและสร้างเอเดนให้เป็นสวนหรืออทุยานที่อยู่บนสวรรค์ บนดินแดนแห่งพระเจ้า โดยอาศัยข้อมูลจากไบเบิลและงานเขียนในยุคคลาสสิค (ของมุสลิมใช้โกหร่านเป็นแหล่งข้อมูลครับ)
ความสำคัญของเอเดนในสายตาของหล่าสาวกทฤษฎีพระเจ้าจากอวกาศนั้น คือเป็นแล็บของพระเจ้าในการสร้างและทดลองถ่ายเทพันธุกรรมมนุษย์ ซึ่งหลายคนก็มีทฤษฎีที่ตั้งของสวนสวรรค์แห่งนี้




สุดสยอง คำสาป ประธานาธิบดีสหรัฐ (Curse of Tippecanoe)

คําสาป วัฏจักรมรณกรรม ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ 
สุดสยอง คำสาป ประธานาธิบดีสหรัฐ (Curse of Tippecanoe)



Curse of Tippecanoe หรือที่รู้จักกันในชื่อ คำสาปวัฏจักรมรณกรรมของประธานาธิบดีสหรัฐฯ หรือจะอีกมากมายหลายชื่อ เช่น


 คำสาปของเทคุมเซ่ (Tecumseh's curse) เนื่อง จากเป็นคำสาปที่หัวหน้าเผ่าเผ่าชอว์นี ที่ชื่อว่า เทคุมเซ่ (Tecumseh) 
ได้ทำการสาปแช่ง คนขาวที่มาบุกรุก แย่งชิง ฆ่าฟัน ชาวอินเดียแดง ซึ่งเป็นเจ้าของผืนแผ่นดิน ของพวกเขาไปด้วยความเหี้ยมโหด



 คำสาปปีที่ลงท้ายด้วยศูนย์ ( zero-year curse ) เนื่องจาก คำสาปนี้จะส่งผลต่อ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา 
ที่ได้รับเลือกตั้งมาในปีที่ลงท้ายด้วยศูนย์ จะต้องมีอันเป็นไปในระหว่างดำรงณ์ตำแหน่ง ที่จะกล่าวถึงต่อไป คำสาปยี่สิบปี ( The twenty-year curse ) เนื่องจาก ทุกๆยี่สิบปี ที่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดี ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งจะต้องมีอันเป็นไป



หัวหน้าเผ่าชอว์นี(Shawnee) ที่ชื่อว่า เทคุมเซ่ ( Tecumseh )ที่ได้ทำการสาปแช่งให้ประธานาธิบดีสหรัฐจงมีอันเป็นไป  อนุสรณ์สถานบริเวณในพื้นสนามรบที่ เทคุมเซ่ ถูกยิงตาย ในการรบในสงครามที่เรียกว่า Thames War ในแคนนาดาเหนือ  มีข่าวลือว่า เขาถูกยิงตายโดยปืนไรเฟิล ของ พันเอกริชาร์ด เมนเตอร์ จอห์นสัน ( Col. Richard Mentor Johnson ) และผลงานจากการนำทัพ
ในการรบครั้งนี้ผลักดันให้ วิลเลียม เฮนรี่ แฮรร์สัน ก้าวสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 9  ส่วนศพของ เทคุมเซ่ ได้มีการขุดขึ้นมา เพื่อนำไปฝังใหม่โดยสถานที่อันเป็นความลับสูงสุดของชนเผ่าชอว์นี
ซึ่งคำสาปนี้ได้ส่งผลให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีอันเป็นไปตั้งแต่ปี 1840 เรื่อยมาจนถึงปี 1960 เป็นเวลากว่า 120 ปี นำมาซึ่งความหวาดกลัวให้แก่ผู้นำประเทศมหาอำนาจของโลก อย่างสหรัฐอเมริกา แต่คำสาปนี้ก็เริ่มเสื่อมคลายอำนาจลง 


ในสมัยประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ( Ronald Reagan ) ที่ได้รับการเลือกตั้งมาในปี 1980 ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ถูกลอบยิงในเดือนมีนาคม 1981 ได้รับบาดเจ็บสาหัส เจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด แต่เขาก็รอดชีวิตมาได้ คาดว่านั้นเป็นเหตุให้คำสาปเสื่อมลง




ผู้เริ่มเปิดเผย ความลับแห่งคำสาปทมิฬ


First widely  คำสาปนี้ถูกเปิดประเด็น และได้รับการตีพิมพ์ลงในหนังสือ ริปลีย์ เชื่อหรือไม่ ( Ripley's Believe It or Not ) ในปี 1931 โดยมีจุดเริ่มต้นคำสาปมาจาก ประธานาธิบดี วิลเลียม เฮนรี่ แฮรร์สัน ที่ได้รับเลือกตั้งมาในปี 1840 และเสียชีวิตลงในปี 1841 และคำสาปนี้ก็แสดงให้เห็นถึง ว่ามันเป็นจริงเรื่อยมาอย่างต่อเนื่อง

จุดเริ่มต้น แห่งความแค้น สุดสยอง และคำสาป 
Began of Curse จุดกำเนิดของคำสาปวัฏจักรมรณกรรมของประธานาธิบดีสหรัฐฯ นี้เกิดขึ้นเมื่อสงครามปีค.ศ.1811 ( 1811 Bettle ) ระหว่างกองกำลังของรัฐบาล กับชาวอินเดียแดง เนื่องจาก นโยบายของ วิลเลียม เฮนรี่ แฮรร์สัน ที่ขณะนั้นดำรงณ์ตำแหน่งผู้ว่าการรัฐอินเดียน่า เข้ามายึดครองพื้นที่ดินทำกินของชนเผ่าอินเดียแดงโดยมิชอบธรรม โดยการกลวิธีเพียงนำเหล้าวิสกี้ ( Whiskey ) 
ไปมอมเมาเท่านั้นเพื่อให้บรรดาหัวหน้าเผ่านำที่ดินมาแลกและเข้ายึดครองดินแดนศักดิ์ของบรรพชนของชนเผ่าชอว์นี ซึ่งนั้นสร้างความไม่พอใจให้แก่ หัวหน้าเผ่าชอว์นี ( Shawnee ) ที่ชื่อว่า เทคุมเซ่ ( Tecumseh ) ซึ่งเป็นเผ่าอินเดียแดงที่ยิ่งใหญ่ และเข้มแข็งที่สุด





แต่ละการเจรจาระหว่าง เทคุมเซ่ กับ วิลเลียม เฮนรี่ แฮรร์สัน ล้มเหลวเมื่อ แฮรร์สัน ปฏิเสธคืนดินแดนให้ ทำให้เกิดการสู้รบกันในปี 1811 แต่ไหนเลย หอก ธนู จะสู้ ปืนได้ ปีเดียวกันนั้นเอง 
กองทัพแฮรร์สันได้เข้าโจมตีที่มั่นสุดท้ายของชนเผ่าชอว์นี บริเวณแม่น้ำ Tippecanoe จนแตกพ่ายแพ้ย่อยยับลง เทคุมเซ่ ( Tecumseh ) ผู้ที่ภายในจิตใจมีแต่ ความโกรธแค้นอาฆาต ได้ทำพิธีสาปแช่ง วิลเลียม เฮนรี่ แฮรร์สัน และประธานาธิปดีสหรัฐฯ ทุกผู้ทุกคนที่มีที่มาเหมือนดังเช่น วิลเลียม เฮนรี่ แฮรร์สัน จงมีอันเป็นไปทุกผู้ทุกคน ตราบนานเท่านาน


       เหล่าประธานาธิบดีที่ คาดว่าพบกับ คำสาป สุดสยอง ที่ต่างมีอันเป็นไปต่างๆนานา

   ได้รับการเลือกตั้งในปี  / ชื่อประธานาธิบดี   /  เหตุของการเสียชีวิต    /    วันที่เสียชีวิต

         1840       วิลเลียม เฮนรี่ แฮรร์สัน         โรคปอดบวม                  4 เมษายน 1841
                      (William Henry Harrison)    
         1860       อัลบราฮัม ลินคอล์น            ถูกลอบสังหาร                15 เมษายน 1865
                       ( Abraham Lincoln)       
          1880       เจมส์ เอ. การ์ฟิลด์             ถูกลอบสังหาร                19 กันยายน 1881
                       ( James A. Garfield )       
          
          1900       วิลเลียม แม็กคินลีย์            ถูกลอบสังหาร                14 กันยายน 1901
                       ( William McKinley )       
          1920      วอร์เรน จี. ฮาร์ดิงก์            หัวใจล้มเหลว                  2 สิงหาคม 1923
                   ( Warren G. Harding )          หรือถูกลอบวางยาพิษ
   
          1940      แฟรงกลิน ดี. รูสเวลต์         เส้นเลือดในสมองแตก       12 เมษายน 1945
                   ( Franklin D. Roosevelt )    
          1960       จอห์น เอฟ. เคนเนดี้         ถูกลอบสังหาร                   22 พฤศจิกายน 1963
                      ( John F. Kennedy )       
          1980      โรนัลด์ เรแกน                  ถูกลอบสังหาร                      5 มิถุนายน 2004
                       ( Ronald Reagan)           ได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่รอดชีวิต

          2000       จอร์จ ดับเบิลยู. บุช          เคยถูกลอบสังหาร              ปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่



 





      ( George W. Bush )       

คำสาปมรณะจากเจ้าหญิงอาเมน-รา

คำสาปมรณะจากเจ้าหญิงอาเมน-รา

ในบรรดาเรื่องเหนือธรรมชาติทั้งหลาย เรื่องต่อไปนี้อาจเป็นเรื่องที่น่าพิศวงที่สุด และยากที่จะอธิบายที่สุด





     เจ้าหญิงแห่งอาเมนรามีชีวิตอยู่ในช่วง 1,500 ปีก่อนคริสตกาล เมื่อพระองค์เสียชีวิต ชาวอียิปต์ก็นำพระศพของพระองค์บรรจุเอาไว้ในโลงศพที่ทำจากไม้และฝังเอาไว้ สุสานเมืองลักซอร์ซึ่งอยู่ริมชายฝั่งแม่น้ำไนล์

เรื่องพิศวงที่อาจ เป็นต้นเหตุที่คร่าชีวิตผู้คนเป็นจำนวนมากก็คงจะไม่เกิดขึ้น ถ้าเมื่อปลายปี 1890 ชาวอังกฤษ 4 คน ไม่ตัดสินใจซื้อโลงศพของเจ้าหญิงอาเมนราซึ่งถูกลักลอบขุดขึ้นมา พวกเขาทั้งสี่คนแข่งกันให้ราคา และผู้ชนะก็นำโลงศพกลับไปที่โรงแรมของตัวเอง จนกระทั่งสองสามชั่วโมงผ่านไป ก็มีคนเห็นเขาเดินดุ่มๆ เข้าไปในทะเลทราย และไม่กลับมาอีกเลย

วันต่อมาชาวอังกฤษในกลุ่มเดียวกันอีกสามคน ก็ถูกยิงได้รับบาดเจ็บจนต้องตัดแขนออกข้างหนึ่ง ส่วนอีกคนก็กลับไปถึงบ้านและพบว่าธนาคารที่เขาฝากเงินสะสมที่เก็บมาตลอดทั้ง ชีวิตล้ม ส่วนคนสุดท้ายในกลุ่มก็ล้มป่วยอย่างรุนแรงจนถูกปลดออกจากงานและต้องขายไม้ ขีดไฟตามท้องถนน

โลงศพถูกขายต่อให้กับนักธุรกิจในลอนดอน ซึ่งหลังจากนั้นสมาชิกในครอบครัวสามคนก็ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติบนถนน และบ้านของเขาก็ถูกไฟไหม้ เขาจึงตัดสินใจบริจาคโลงศพของเจ้าหญิงอาเมนราให้กับพิพิธภัณฑ์ในอังกฤษ โดยในขณะที่โลงศพถูกยกลงจากรถบรรทุกลงมาไว้ในสวนของพิพิธภัณฑ์ รถบรรทุกก็เกิดพลิกคว่ำและทับคนที่กำลังเดินผ่านบริเวณนั้น และเมื่อคนงานขนย้ายโลงศพขึ้นไปตามบันได คนงานคนหนึ่งก็หกล้มขาหัก ส่วนอีกคนซึ่งมีสภาพร่างกายแข็งแรงก็เสียชีวิตอย่างไม่มีสาเหตุอีกสองวันให้ หลัง

เมื่อโลงศพเจ้าหญิงอาเมนราถูกนำมาจัดแสดงไว้ในห้องอียิปต์ของ พิพิธภัณฑ์ ก็เกิดเหตุการณ์เลวร้ายอย่างต่อเนื่อง ในตอนกลางคืนพนักงานรักษาความปลอดภัยจะได้ยินเสียงร่ำไห้ดังออกมาจากในโลงศพ และข้าวของในพิพิธภัณฑ์ก็จะล้มระเนระนาดในตอนกลางคืน เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเสียชีวิตในขณะปฏิบัติหน้าที่ ทำให้พนักงานคนอื่นๆ ปฏิเสธที่จะเฉียดกรายเข้าไปใกล้โลงศพต้องคำสาปใบนี้

ในที่สุด พิพิธภัณฑ์ก็ตัดสินใจย้ายมัมมี่ไปยังห้องใต้ดินเพราะคิดว่าหากเก็บไว้ที่ นั่นมันจะไม่สามารถทำอันตรายใครได้อีก แต่ภายในระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ พนักงานในพิพิธภัณฑ์ก็มีทั้งที่ป่วยสาหัส และเสียชีวิตอย่างไม่ทราบสาเหตุที่โต๊ะทำงานของตัวเอง

เมื่อหนังสือพิมพ์ได้ยินเสียงเล่าลือ นักข่าวคนหนึ่งก็เดินทางไปถ่ายภาพโลงใส่มัมมี่ และเมื่อเขานำภาพไปล้าง ก็เห็นว่าลวดลายบนโลงศพเป็นใบหน้ามนุษย์ที่แสดงความทุกข์ทรมานแสนสาหัส

ไม่นานหลังจากนั้น พิพิธภัณฑ์ก็ขายมัมมี่เจ้าหญิงอาเมนราให้กับนักสะสมคนหนึ่ง ซึ่งก่อให้เกิดความสูญเสียและความตายอีกเช่นเคย เขาอยากจะกำจัดมันทิ้งไปแต่ก็ไม่มีพิพิธภัณฑ์ไหนยอมรับเนื่องจากได้ยิน กิตติศัพท์ความน่าสะพรึงกลัวของมัมมี่ต้องคำสาปนี้ จนกระทั่งนักโบราณคดีหัวแข็งคนหนึ่งตกลงซื้อและสั่งให้ขนส่งมัมมี่มายัง นิวยอร์ค

ในเดือนเมษายน ปี 1912 เจ้าของคนใหม่เดินทางมาพร้อมกับทรัพย์สมบัติล้ำค่าของเขาเพื่อนำกลับไป นิวยอร์ค ในคืนวันที่ 14 เมษายน ท่ามกลางเสียงหวีดร้อง ร่ำไห้ และหวาดผวาของผู้คน เจ้าหญิงอาเมนราก็ดำดิ่งลงไปสู่ก้นทะเลของมหาสมุทรแอตแลนติก พร้อมๆ กับผู้โดยสารอีก 1,500 ชีวิต

ชื่อของเรือลำนั้นคือ ไททานิค เรือที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นเรือที่ไม่มีวันจม

หลักฐานขัดแย้ง

ข้อมูล จาก Wikipedia เปิดเผยว่า มัมมี่ของเจ้าหญิงอาเมนรา เป็นหนึ่งในสาเหตุที่คนเชื่อว่าทำให้เรือไททานิคล่ม โดย William Thomas Stead ปฏิเสธการที่มีคนกล่าวอ้างว่าเขาเป็นผู้ซื้อมัมมี่ แต่เขายอมรับว่าได้จัดแจงซ่อนมัมมี่เอาไว้ใต้ท้องรถเนื่องจากเกรงว่าจะไม่ ได้รับอนุญาตให้นำขึ้นเรือด้วย เขาเล่าให้ผู้โดยสารคนอื่นๆ บนเรือฟังเกี่ยวกับมัมมี่หนึ่งคืนก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการบิดเบือนเรื่องราว หรือความทรงจำที่ถูกดัดแปลงไปหลังประสบกับเหตุการณ์เลวร้าย ก็มีพยานเล่าว่า ทันทีที่กัปตันเรือประกาศให้สละเรือ มัมมี่ตนนี้ก็ปรากฏตัวขึ้นบนดาดฟ้าเรือ

เรื่องเล่าที่ขัดแย้งกันอีก เรื่องคือการที่พิพิธภัณฑ์อังกฤษปฏิเสธว่าไม่เคยรับบริจาคมัมมี่เจ้าหญิงอา เมนรา มีเพียงฝาของโลงศพเท่านั้นที่พิพิธภัณฑ์นำมาจัดแสดงไว้ และฝาโลงศพนี้ก็ไม่เคยถูกนำออกไปจากพิพิธภัณฑ์เลย

หลักฐานที่ขัดแย้งกันนี้ ทำให้ผู้คนยังเฝ้าสงสัยว่า เรื่องลึกลับของคำสาปมัมมี่ที่เป็นต้นเหตุให้เรือซึ่งได้รับการขนานนานว่า ไม่มีวันจม ดำดิ่งลงสู่ก้นทะเลนั้น เป็นเรื่องจริงหรือไม่
http://board.postjung.com/476345.html

วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2557

Tower of London หรือ "หอคอยแห่งลอนดอน"

Tower of London หรือ "หอคอยแห่งลอนดอน" 




หอคอยแห่งลอนดอนเคยเป็นทั้งวัง ป้อมปราการ คุกและลานประหาร
ในอังกฤษนี่ มีสถานที่หลายแห่งที่ว่ากันว่ามีคนเคยเห็นวิญญาณของคนที่ตายไปแล้วมาหลอกหลอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามโบราณสถานสำคัญๆ เช่นป้อม วัง หรือหอคอยโบราณ Tower of London หรือ หอคอยแห่งลอนดอน เป็นอีกที่หนึ่งที่ร่ำลือกันว่า "ผีดุ"
หอคอยแห่งลอนดอนสร้างมาเกือบพันปีแล้ว เป็นโบราณสถานที่มีประวัติเกี่ยวข้องโดยตรงกับการขึ้นครองราชย์ การแย่งชิงราชบัลลังก์และการสร้างชาติของอังกฤษ ที่นี่เคยใช้เป็นทั้งพระราชวัง ป้อมปราการ ที่คุมขังนักโทษและเป็นลานประหาร
ผีที่ร่ำลือกันและมีคนกล่าวอ้างว่ามาปรากฎร่างให้เห็น ว่ากันว่าเป็นวิญญาณของเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ที่ต้องมาจบชีวิตในป้อมแห่งนี้ ส่วนใหญ่จากไปแบบ "ตายโหง"
ความที่ใช้เป็นที่คุมขังนักโทษและลานประหารนี่เอง ทำให้หอคอยแห่งลอนดอนมีประวัติที่ชวนให้ขนลุกและน่าสยดสยองพ่วงเข้าไปด้วย



ทาวเวอร์ ออฟ ลอนดอน หรือหอคอยแห่งลอนดอน เป็นสถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นหลังจากวิลเลียม ดยุคแห่งนอร์มังดี ได้รับการสถาปนาเป็นกษัตริย์แห่งอังกฤษ ในวันคริสต์มาสปี ค.ศ 1066 ที่วิหารเวสต์มินสเตอร์ ภายหลังชนะสงครามกษัตริย์ฮาโรลด์ ของเซ็กซอน 10 ปีหลังจากการครองราชย์ กษัตริย์วิลเลี่ยมทรงรับสั่งให้ดัดแปลงป้อมปราการเล็กๆ เป็นป้อมปราสาทขนาดใหญ่ก่อด้วยหินขนาดใหญ่ เพื่อป้องกันกรุงลอนดอน เมืองหลวงของอาณาจักรแห่งใหม่ เรียกชื่อสถานที่นี้ว่า Tower of London โดยหนึ่งในปราสาทเหล่านี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของกำแพงเมืองโรมัน เพื่อสังเกตการณ์ได้ทั่วแม่น้ำเทมส์และเมืองในมุมกว้าง นอกจากนี้เพื่อความปลอดภัย จึงขุดคูคลองล้อมรอบปราสาท เป็นการปิดมุมระหว่างกำแพงชั้นในและชั้นนอก จากนั้นในบริเวณนี้ มีสิ่งปลูกสร้างขยายตัวกว้างขึ้นเรื่อยๆ หอคอยที่อยู่ใจกลางสถาปัตยกรรมทั้งหมดจึงมีชื่อเรียกว่า White Tower หอคอยสีขาว 
Bloody Tower เคยใช้เป็นที่ประทับและคุมขังเจ้าชายสองพระองค์ คือพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ห้า วัย 12 พรรษา กับ เจ้าชายริชาร์ด ดยุกออฟยอร์ก พระอนุชาวัย 9 พรรษา
เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1483 เมื่อกษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่ 4 สวรรคตพระโอรส-เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด วัย 12 ชันษาจะได้ขึ้นครองราชย์แทน แต่ปรากฏว่า พระเจ้าอา-ริชาร์ด ดยุค แห่งกลาวสเตอร์ ชิงบัลลังก์และสถาปนาตนเองเป็นกษัตริย์ริชาร์ดที่ 3 โดยนำเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดและพระอนุชาไปขังไว้ที่หอคอยดังกล่าวกระทั่งไม่มีใครพบเห็น
ห้องที่ว่ากันว่าเจ้าชายทั้งสองพระองค์ทรงใช้บรรทมก่อนถูก "อุ้ม" หายไปอยู่บนชั้นสองของ Bloody Tower บันไดหินที่พาวนขึ้นไปค่อนข้างแคบ ตัวห้องซึ่งอยู่พ้นบันไดไปมีขนาด 4 คูณ 5 เมตร มีผนังสีขาว
ห้องชั้นสองใน Bloody Tower ที่ว่ากันว่าเป็นห้องเกิดเหตุ มีวิดิทัศน์สั้นๆ จากภาพยนตร์ของเซอร์ลอว์เรนส์ โอลิเวียร์ ที่สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2498 เกี่ยวกับการหายไปของเจ้าชายทั้งสอง ในหนังดังกล่าว พระปิตุลาของเจ้าชายทรงสั่งให้มหาดเล็กคนสนิทเอาหมอนปิดปากปิดจมูกเจ้าชายทั้งสองขณะกำลังบรรทม
เมื่อปี พ.ศ. 2217 ช่างซึ่งกำลังทุบบันไดหินทางใต้ของ White Tower หรือ หอคอยขาวในหอคอยแห่งลอนดอน พบหัวกระโหลกเด็กสองหัวตอนนั้นคนเชื่อว่าเป็นกระโหลกของเจ้าชายทั้งสองและพระเจ้าชาร์ลส์ที่สองที่ครองราชย์อยู่ ทรงสั่งให้นำกระดูกไปฝังที่มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์
แต่จนถึงทุกวันนี้ก็พิสูจน์ได้เพียงแต่ว่ากระโหลกนั้นเป็นของเด็กอายุราว 10 ขวบ



คำสาปอีกา
ป้อมปราสาทนี้เป็นที่รู้จักกันดี ในฐานะถูกใช้เป็นที่คุมขังและประหารบุคคลสําคัญๆ ของอังกฤษมากมายหลายท่าน ณ ลานปราสาทแห่งนี้จะมีการเลี้ยงดูอีกา จํานวน 6 ตัว เนื่องจากมีคําสาปมานานกว่า 900 ปี ว่า ถ้าหากอีกาลดจํานวนลงเมื่อใด เมื่อนั้นความหายนะจะมาเยือนนครลอนดอน และสิ้นสุดพระราชวงศ์แห่งอังกฤษ!
เรื่องนี้มีตํานานปรากฏเป็นเอกสาร ในสมัยพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 ราวศตวรรษที่ 17 ด้วยนะคะ ไม่ใช่เรื่องเลื่อนลอยแต่อย่างใด และทําให้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นยาม หรือกษัตริย์ถือเป็นเรื่องจริงจังอย่างเคร่งครัด เช่นว่า ถ้ามีอีกาตายหนึ่งตัว จะต้องรีบถวายรายงานต่อควีนทันที และต้องจัดหาอีกาตัวใหม่ มาทดแทนโดยด่วน ซึ่งอีกาทุกตัวจะมีชื่อเรียก และถ้าตายก็จะถูกนําไปฝังอย่างมีพิธีการ จะมีการเลี้ยงอีกาไว้สํารองตลอดเวลา ถ้าตัวใดล้มป่วย ก็ต้องรีบตรวจสอบหาไม่ถ้าหากตายโดยโรคติดต่อ (เช่น ไข้หวัดนก) และเช้าขึ้นมาอีกาตายเกลี้ยงละก้อ เชื่อกันว่าทั้งพระราชวงศ์ก็จะอันตรธานไปเช่นกัน

บริเวณที่ว่ากันว่ามีวิญญาณมาหลอกหลอนให้เห็นบ่อยที่สุดคือ Salt Tower ซึ่งในสมัยราชวงศ์ทิวดอร์ใช้เป็นที่คุมขังนักบวชคณะเยซูอิต
บริเวนชั้นบนของหอคอยจะเห็นร่องรอยที่นักโทษขีดเขียนตามผนังกำแพงด้วย
ในบรรดาหอคอยทั้งหมดของหอคอยแห่งลอนดอน ว่ากันว่า Salt Tower เป็นหอคอยที่เฮี้ยนที่สุดค่ะ
ในเอกสารที่ทางฝ่ายประชาสัมพันธ์ส่งให้ทางบีบีซี ยังขยายความน่าขนลุกของ Salt Tower เพิ่มเข้าไปอีกโดยบอกว่า พอตกดึกแล้ว ไม่เพียงแต่คนเท่านั้นที่ไม่กล้าเข้าไปในหอคอยแห่งนี้ แม้แต่สุนัขก็ยังขยาด


เป็นเรื่องที่เล่าต่อๆ กันมาว่า
"มีคนเจอพระนางแอน โบลิน หลายที่ ทั้งที่ Tower Green ในควีนส์เฮาส์ ซึ่งว่ากันว่าเป็นสถานที่พระนางประทับก่อนถูกประหาร พระนางต้องโทษประหารฐานนอกพระทัยพระเจ้าเฮนรี่ แต่พระนางทรงร้องขอพระสวามี ไม่ให้ใช้ขวานตามธรรมเนียมอังกฤษเพราะทรงหวาดกลัวมาก ทรงขอให้ใช้ดาบตามธรรมเนียมฝรั่งเศส พระเจ้าเฮนรี่ทรงทำตามพระประสงค์สุดท้ายของพระราชินี ทรงจ่ายพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์นำเพชฌฆาตมาจากเมืองคาเล่ส์ในฝรั่งเศส ว่ากันว่าเพชฌฆาตคนนี้ฝีมือแม่นมาก ฟันฉับเดียว พระเศียรหลุดทันที แต่พอเพชฌฆาตยกพระเศียรขึ้นชู พระเนตรของพระนางยังลืมอยู่และพระโอษฐ์ก็ขมุบขมิบ ผู้คนที่ไปดูการประหารเชื่อว่าพระนางทรงสาบแช่ง"
ในอังกฤษ ดูเหมือนจะมีพระนางแอน โบลินเพียงพระองค์เดียวที่ถูกประหารชีวิตด้วยใช้ดาบบั่นพระเศียร นอกนั้นใช้ขวานตามธรรมเนียม
การประหารที่น่าสยดสยองมากครั้งหนึ่งคือการบั่นคอ มาการ์เร็ต โพล เคาน์เตสแห่งซอลส์เบอรี่ [Margaret Pole, 8th Countess of Salisbury] ฐานเป็นกบฎต่อแผ่นดิน
นางไม่ยอมคุกเข่าเอาหัววางลงที่แท่นประหารเพื่อให้เพชฌฆาตบั่นคอและพยายามจะหนี ด้านเพชฌฆาตก็เป็นมือใหม่ ต้องพยายามใช้ขวานตัดคอนางให้ขาด
ว่ากันว่าวันดีคืนดีโดยเฉพาะในวาระครบรอบวันที่นางถูกบั่นคอ ก็มักมีคนได้ยินเสียงผู้หญิงแผดร้องและเสียงวิ่งหนีดังอยู่ในบริเวณหอคอย




ฟาโรห์ตุตันคาเมน(ตุตันคามุน)กับมหาคำสาปอันน่าสะพรึง

ฟาโรห์ตุตันคาเมน(ตุตันคามุน)กับมหาคำสาปอันน่าสะพรึง





ปริศนาคำสาปและสาเหตุการตายของตุตันคามุน
ตุตันคามุน ฟาโรห์อียิปต์ผู้โด่งดังเมื่อสิ้นพระชนม์มาแล้วกว่าสามพันปี พระองค์เป็นตำนานอันยิ่งใหญ่ แห่งการค้นพบทางโบราณคดีในโลกปัจจุบัน สุสานอันเต็มไปด้วยเครื่องทองของมีค่าอลังการ มลังเมลืองของพระองค์ ในหุบผากษัตริย์ นั้น เป็นแรงบันดาลใจสูงสุดของการขุดค้นทางโบราณคดี ทั้งเป็นตัวจุดประกายความหลงใหลใฝ่ฝันในอารยธรรมอียิปต์ โบราณแก่คนทั้งโลก ตุตันคามุนเป็นฟาโรห์ในราชวงศ์ที่ 18 ยุคราชธานีใหม่ของอียิปต์ ครองบัลลังก์ ประมาณระหว่างปีที่ 1336-1327 ก่อน ค.ศ. เข้าใจว่าพระองค์เป็นโอรสของอเคนาเตน ฟาโรห์ผู้ปฏิวัติศาสนาจากการนับถือเทพหลายองค์ โดยมี อามุน-เร เป็นเทพสูงสุดนั้น มานับถือเทพองค์เดียวคืออาเตน ผู้มีสัญลักษณ์ เป็นวงกลมดวงอาทิตย์ที่มีรัศมีเป็นสายยาว ตุตันคามุนมิใช่โอรสที่เกิดจากเนเฟอร์ติตี ราชินีโฉมงามของอเคนาเตน เพราะราชินีผู้นี้ ดูจะมีแต่พระธิดาเท่านั้น พระมารดาของตุตันคามุนเป็นมเหสีรองที่ชื่อ คียา พระนามเดิมของตุตันคามุนคือ ตุตันคาเตน (แปลว่า รูปอันมีชีวิตแห่งเทพอาเตน) เนื่องจากประสูติในสมัยที่พระบิดา หันมานับถือเทพอาเตนแล้ว
ในวัยเยาว์ ตุตันคามุนทรงใช้ชีวิตที่เมืองอเคตาเตน (เทล เออลอมาร์นา ปัจจุบัน) เมืองหลวงใหม่ที่พระบิดาสร้างอุทิศแด่ เทพองค์ใหม่ ตุตันคาเตนขึ้นครองราชย์ตั้งแต่ ยังทรงพระเยาว์มาก คือในราว 9-10 ชันษา และต่อมาก็อภิเษกกับอังเคเซนปาอาเตน พระเชษฐภคินีร่วมพระบิดา ผู้เป็นพระธิดาของเนเฟอร์ติตี ไม่นานนักตุตันคาเตนก็ทรงย้ายเมืองหลวง กลับมายังเมมฟิส เมืองหลวงดั้งเดิม เปลี่ยนศาสนากลับมานับถือเทพอามุน-เร และเทพอื่นๆ ดังเดิม รวมทั้งเปลี่ยนพระนามของพระองค์เองและของพระมเหสีเป็น ตุตันคามุน และอังเคเซนปาอามุนตามลำดับ
เพื่อยืนยันการนับถือเทพอามุน ตุตันคามุนครองราชย์เพียงไม่กี่ปี ก็สิ้นพระชนม์ด้วยวัยเพียง 19-20 ชันษา พระศพถูกทำเป็นมัมมี่แล้วเก็บไว้ในสุสาน ณ หุบผากษัตริย์พร้อมข้าวของที่พระองค์ จะนำไปใช้ได้ในโลกหลังความตาย และของสักการะบูชาอื่นๆที่แล้วล้วนไปด้วยทองคำ รวมแล้วกว่า 3,000 ชิ้น
ในต้นทศวรรษ 1900 อันเป็นยุคที่มีการขุดค้นทางโบราณคดีมากที่สุดในอียิปต์ แต่เมื่อมีการค้นพบสุสานในหุบผากษัตริย์ของหลายๆ บุคคลที่อยู่ในยุคเดียวกัน มีโถคาโนปิค (โถบรรจุอวัยวะภายในที่นำออกมาระหว่างการทำศพเป็นมัมมี่) ของพระนางคียา พระมารดาของตุตันคามุน แท่นบูชาของราชินีติยี และของอื่นๆ ที่จารึกพระนามของอเมนโฮเทปที่ 3 บ้าง สเมนกาเรบ้าง ทั้งมีถ้วยเคลือบสีใบหนึ่งที่จารึกพระนามตุตันคามุน และนั่นก็คือครั้งแรกที่นักโบราณคดีรู้จักฟาโรห์พระนามนี้
อย่างไรก็ตาม ต่อๆมาก็มีผู้พบโบราณ วัตถุที่เกี่ยวข้องกับตุตันคามุนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่น แผ่นทองจารึกพระนามที่แผ่นหนึ่งมีภาพตุตันคามุนกำลังทรงธนู ซึ่งเออร์เนสท์ แฮโรลด์ โจนส์ พบในห้องห้องหนึ่งที่ตัดลึกเข้าไปในหน้าผาแห่งหนึ่งในปี 1908
เอเอฟพี-เทคโนโลยีทัน สมัยช่วยไขปัญหาคาใจของผู้คนในวงการประวัติศาสตร์และผู้สนใจเรื่องราวชวน พิศวงของอาณาจักรไอยคุปต์โบราณ เมื่อผลการตรวจสอบโดยใช้แคทสแกนชี้ว่า ยุวกษัตริย์ผู้ปกครองอาณาจักรอียิปต์เมื่อ 3,000 ปีก่อน น่าจะสิ้นพระชนม์เพราะ "ขาหัก" มากกว่าจะถูกปลงพระชนม์ด้วยธนูอย่างที่เชื่อกัน

ซาไฮ ฮาวาสส์ (Zahi Hawass) ผู้อำนวยการสภาโบราณสถานแห่งอียิปต์ (Egypt's Supreme Council of Antiquities) ผู้นำการศึกษาเผยว่า ฟาโรห์ ตุตันคาเมนน่าจะสิ้นพระชนม์จากบาดแผลที่ติดเชื้อ โดยผลการตรวจพระศพมัมมี่อายุ 3,300 ปีโดยใช้คอมพิวเตอร์แบบแคทสแกนชี้ว่า พระองค์น่าจะกระดูกหักไม่นานก่อนสิ้นพระชนม์

แม้คณะทำงานจะมีความเห็นขัดแย้งกันบ้างในรายละเอียดที่ได้จากการตรวจ สอบ สิ่งที่ทุกคนเห็นตรงกันก็คือตุตันคาเมนไม่ได้สิ้นพระชนม์เพราะถูกปลงพระชนม์ ตามที่เชื่อกันมานาน

“ตุ ตันคาเมน” หรือ "ตุตันคามุน" (Tutankhamun/Tutankhamen) เป็นฟาโรห์องค์ที่ 12 ในราชวงศ์ที่ 18 ของอียิปต์ ทรงขึ้นครองราชย์ด้วยพระชนมายุเพียง 10 ชันษา ทรงเป็นกษัตริย์อียิปต์โบราณในช่วงปี 1334 - 1323 ก่อนคริสตกาล ก่อนหน้าขึ้นครองราชย์ใช้พระนามว่า “ตุตันคาเตน” อันหมายถึงเทพอาเตน หรือสุริยเทพอวตารลงมา

ทั้งนี้ พระราชบิดาของพระองค์คือ “เอเมนโฮเทปที่ 4” ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็น “อาเคนาเตน” ด้วยความศรัทธาใน “เทพอาเตน” เป็นอย่างมาก โดยยัดเยียดและปฏิรูปศาสนาอย่างถอนรากถอนโคน ซึ่งแต่เดิมนั้นประชากรอียิปต์นับถือพระเจ้าหลายองค์ (พหุเทวนิยม) โดยมีเหล่านักบวช เป็นผู้ดูแลทำพิธีในวิหารต่างๆ

แต่อาเคนาเตน ได้นำเอาศาสนาพระเจ้าองค์เดียว (เอกเทวนิยม) คือ สุริยเทพอาเตนเข้ามา ซึ่งหลังจากอาเคนาเตนสิ้นพระชนม์ลง ศาสนสถานและชื่อต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ “อาเตน” จึงถูกลบออกไป รวมทั้งพระนามของ “ตุตันคาเตน” ที่เปลี่ยนมาเป็น “ตุตันคาเมน”

ตุ ตันคาเมนสิ้นพระชนม์เมื่อ 18 ชันษาโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่เชื่อกันว่าฟาโรห์หนุ่มองค์นี้ถูกลอบปลงพระชนม์โดยสังฆราชอัย นักบวชชั้นสูงซึ่งครองตำแหน่งผู้นำทางการทหารด้วย และต่อมาได้สถาปนาตัวเองเป็นฟาโรห์สืบราชสมบัติ
ภาพสแกนทั้งร่างของพระศพมัมมี่ตุตันคาเมน
เมื่อปี 1968 นักโบราณคดีได้เปิดโลงไม้บรรจุพระศพมัมมี่และทำการตรวจสอบ ซึ่งผลเอกซเรย์ครั้งนั้นพบว่ามีเศษกระดูกอยู่ในกะโหลกของพระองค์ ซึ่งทำให้น่าเชื่อว่าพระองค์ทรงถูกปลงพระชนม์ด้วยธนู แต่รายงานล่า สุดหลังมีการเคลื่อนย้ายพระศพฟาโรห์ไปตรวจสอบที่พิพิธภัณฑ์กรุงไคโรเป็น ครั้งแรกยืนยันว่า ไม่มีหลักฐานว่าตุตันคาเมนต้องธนูที่กะโหลกศีรษะด้านหลังและไม่มีหลักฐานของ การทำร้ายร่างกายอื่นๆ

ตามข้อมูลผลการตรวจสอบกะโหลกศีรษะ กระดูกหน้าอก และกระดูกส่วนอื่นๆ อีก 2 ชิ้น เศษกระดูกในกะโหลกน่าจะเกิดขึ้นในช่วงดองพระศพ โดย "ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะเกิดจากการได้รับบาดเจ็บก่อนเสียชีวิต" นอกจากนี้ยังชี้ว่ารอยแตกที่กระดูกต้นขาด้านซ้ายเป็นหลักฐานว่าขาซ้ายของฟาโรห์หักก่อนสิ้นพระชนม์
"แม้ว่าตัวบาดแผลจะไม่เป็นอันตรายถึงตาย แต่ก็อาจมีการติดเชื้อแทรกซ้อน" รายงานระบุ

อย่างไรก็ตาม นักวิจัยบางคนไม่เห็นด้วยกับทฤษฎีนี้ พวกเขาเชื่อว่ารอยแตกที่กระดูกอาจเกิดขึ้นในภายหลังด้วยฝีมือของนักโบราณคดี ไม่ว่ารอยแตกที่กระดูกนั้นจะเกิดขึ้นเพราะเหตุใด ฮาวาสส์แสดงความมั่นใจว่าตุตันคาเมนไม่ได้ถูกลอบปลงพระชนม์แน่

"คดีนี้ปิดแล้ว เราไม่ควรจะรบกวนพระศพอีกต่อไป ไม่มีหลักฐานว่ายุวกษัตริย์พระองค์นี้ถูกปลงพระชนม์"


คำสาปฟาโรห์

ด้วย ระยะเวลาอันสั้นในการครองราชย์ทำให้กษัตริย์พระองค์น้อยทรงไม่มีภารกิจใดมาก นัก ที่สำคัญหลังสิ้นพระชนม์ทรงถูกกษัตริย์องค์ต่อมาลบทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้ง พระนามของตุตันคาเมนออกจากรายนามพระมหากษัตริย์และราชวงศ์ ทำให้ไม่มีนักประวัติศาสตร์คนใดรู้จักพระนามของพระองค์เลย

“โฮเวิร์ด คาร์เตอร์” (Howard Carter) นักโบราณวิทยาชาวอังกฤษและ “ลอร์ด คาร์นาร์วอน” (Lord Carnarvon) ผู้สนับสนุนทางการเงิน เป็น คณะแรกที่ได้เข้าสู่สุสานของตุตันคาเมนในหุบผากษัตริย์ เมืองลักซอร์ ในวันที่ 4 พ.ย. 1922 โดยคาร์เตอร์ใช้เวลาถึง 10 ปี ในการขุดค้นสุสานและค้นพบห้องเก็บพระศพ โลงพระศพที่ทำด้วยทองคำบริสุทธิ์

แม้ตุตันคาเมนจะไม่ใช่กษัตริย์องค์สำคัญ แต่สุสานของพระองค์มีเครื่องประกอบพิธีศพที่หาค่าไม่ได้เนื่องจากพระศพและ สุสานที่สร้างขึ้นไม่ได้สลักชื่อว่าเป็นของกษัตริย์ จึงรอดพ้นเงื้อมมือโจรที่คอยปล้นและทำลายสุสานไปได้ และทำให้ทุกอย่างยังคงสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด ทำให้การค้นพบในครั้งนี้นับเป็นการค้นพบทางโบราณคดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้ง หนึ่งในโลก

แต่สิ่งที่ร่ำลือกันมากกว่าสิ่งใดสำหรับสุสานฟาโรห์หนุ่มองค์นี้คือ คำสาป ที่นักบวชไอยคุปต์บรรจงสลักไว้ในสุสานของตุตันคาเมน “มรณะจักโบยบินมาสังหารสู่ผู้บังอาจรังควานสันติสุขแห่งพระองค์ฟาโรห์”

ข้อความที่ขลังและเปี่ยมด้วยอาถรรพณ์นี้ ทำให้มีการตายอย่างน่าพิศวงซึ่งเชื่อกันว่าเกิดขึ้นเพราะฤทธิ์คำสาป และนับแต่สุสานถูกเปิดผู้ร่วมพิธีเปิดเสียชีวิตไป 22 คนและนับจากนั้นแม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไรหากแต่เมื่อครั้งใดที่ฟาโรห์ตุตัน คาเมนถูกรบกวนก็ย่อมจะมีผู้ที่สังเวยต่อคำสาปอันลี้ลับนี้เสมอมา เริ่มจากลอร์ดคาร์นาร์วอน เจ้าของทุนในการขุดค้นสุสานก็เสียชีวิตจากการป่วยหนักด้วยโรคมาลาเรีย หลังจากเริ่มขุดค้นสุสาน ตุตันคาเมนเพียง 6 เดือน และภายหังจากมีการเปิดหีบศพขงตุตันคาเมนให้ คนทั้งโลกได้ยลโฉม เพือนร่วมงานที่มีสวนในการขุดสุสานประมาณ 20 คนก็มีอาการไข้สูงโดยไม่ทราบสาเหตุและค่อยๆ ตายลงอย่างลึกลับ ยกเว้นนายคาร์เตอร์ที่ยังใช้ชีวิตต่อมาอีกหลายสิบปีก่อนถึงแก่กรรมอย่างสงบ หรือนานคาร์เตอร์จะมีลางสังหรณ์อะไรบสฃางอย่าง จึงรีบนำเอาฟาโรห์ตุตันคาเมนกลับมาอยู่ในสุสานเหมือนเดิม มีคำร่ำลือในหมู่นักท่องเที่ยวว่า เวลาไปเที่ยวสุสานกษัตย์เหล่านี้ อย่าแอบไปเก็บอะไรออกมาจากสุสานเป็นอันขาด มิฉะนั้น บางสิ่งบางอย่างจะข้ามน่ำข้ามทะเลมาตามทวงอย่างลึกลับ



cr.chanbaek

"คำสาปตุตันคาเมน" ที่แท้เป็นฝีมือ "อลิสแตร์ ครอวลีย์"

"คำสาปตุตันคาเมน" ที่แท้เป็นฝีมือ "อลิสแตร์ ครอวลีย์"



     นักประวัติศาสตร์แฉ "คำสาปตุตันคาเมน" ที่แท้เป็นฝีมือ "อลิสแตร์ ครอวลีย์" แค้นขุด
สุสานฝังมัมมี่ฟาโรห์



     สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายมาร์ค เบย์นอน นักประวัติศาสตร์ได้เปิดเผยว่า
กรณี "คำสาปตุตันคาเมน" ที่เชื่อกันว่าได้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 20 รายในช่วงทศวรรษ
ที่ 1920-30 นั้น จริงแล้วๆ เป็นฝีมือของ "อลิสแตร์ ครอวลีย์" พ่อมดเจ้าลัทธิซาตานชาว
อังกฤษ /อลิสแตร์ ครอว์ลีย์ พ่อมดแห่งทะเลสาบล็อคเนสส์ ที่ไม่พอใจต่อการขุดพระศพ
ฟาโรห์ตุตันคาเมน



     จากการพบข้อมูลในบันทึกไดอารี่ของพ่อมดรายนี้ ที่ชี้ว่ามีผู้คนอย่างน้อย 6 คนที่ถูก
สังหารเพราะฝีมือของเขาก่อนหน้านี้ การค้นพบสุสานฝังพระศพตุตันคาเมนเมื่อ 80 ปีก่อน
ได้ก่อให้เกิดความฮือฮาและตื่นตะลึงไปทั่วโลก และตามมาด้วยการเล่าขานว่า มีคำสาป
ฟาโรห์ถูกบันทึกอยู่ในสุสานดังกล่าว



     ซึ่งถูกค้นพบเมื่อปี 1922 โดย นายโฮเวิร์ด คาร์เตอร์ นักโบราณคดีชาวอังกฤษ ที่ได้
ค้นพบโลงฝังพระศพทองคำหนัก 110 กิโลกรัม และเปิดหน้าสำคัญทางประวัติศาสตร์ให้
แก่วงการโบราณคดีอียิปต์วิทยา



     อย่างไรก็ตาม เพียง 6 สัปดาห์ต่อมา ลอร์ด คาร์นาร์วอน ผู้ร่วมเปิดโลงฝังพระศพฯ
ได้เสียชีวิตลงอย่างปริศนา เพราะถูกแมลงกัด และที่น่าแปลกยิ่งกว่านั้นก็คือเลขาฯ ส่วนตัว
ของนายคาร์เตอร์ รวมทั้งอดีตภัณฑารักษ์ ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์อียิปต์ ตลอดจนเจ้าหญิงอียิปต์
ที่ถ่ายรูปกับสุสานดังกล่าว ล้วนเสียชีวิตภายหลังการขุดค้นดังกล่าว

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1320903742&grpid=03&catid=&subcatid

วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2557

ตำนานละครเวทีแม็คเบ็ทของเช็คสเปียร์

ตำนานละครเวทีแม็คเบ็ทของเช็คสเปียร์







แมกเบท (Macbeth) คือผลงานชื่อดังของ วิลเลี่ยม เชกสเปียร์ 
แมกเบท (Macbeth) เป็นหนึ่งในสี่ละครโศกนาฏกรรมชื่อดังของเชกสเปียร์ เชื่อกันว่า เพราะเนื้อหาในละครบางส่วนเปิดเผยความลับของเหล่าแม่มดมากเกินไปทำให้แม่มดโกรธแค้น กระทั่งสาปละครเรื่องนี้ให้พบกับภัยพิบัติทุกครั้งที่ออกแสดง

 คำสาปเริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1606 เมื่อผู้แสดงเป็น “มาดามแมกเบท"เสียชีวิตด้วยอาการไข้ขึ้นสูง ต่อมาในปี ค.ศ.1703 ก็มีการจัดแสดงอีกครั้งแต่ในวันแสดงวันแรก พายุเฮอริเคนก็เข้าถล่มเกาะอังกฤษ และในปีค.ศ.1865หลังจากประธานาธิบดีลิงคอล์นอ่านบทละครเรื่องนี้ เขาก็ถูกลอบสังหาร และเหตุการณ์ที่ชวนให้สยดสยองที่สุดก็คือ ปีค.ศ.1947 ในฉากต่อสู้ระหว่างแมกเบทกับศัตรูอันน่าตื่นเต้นนั้น เมื่อแมกเบทถูกแทงและล้มลงกลางเวที ผู้ชมทั่วทั้งโรงละครต่างชื่นชมกับความสมจริงของฉากนั้น โดยที่ไม่รู้ว่าผู้ที่แสดงเป็นแมกเบทนั้นถูกแทงจริงๆ เนื่องจากดาบที่ใช้ไม่ได้สวมปลอกดาบทำให้คมดาบแทงทะลุร่างและอีก 3 วันต่อมา 
 

              





cr.thewestindiannews.com
wikipedia.org
nwt.tec.ok.us
allpostersimages.com
shakespeare-navigators.com
afana.org/images/macbeth3.jpg

เจาะลึกวิหารกระดูก เมืองอีโวรา ประเทศโปรตุเกส

เจาะลึกวิหารกระดูก เมืองอีโวรา ประเทศโปรตุเกส





วิหารแห่งกระดูก ตั้งอยู่ที่เมือง อีโวร่า (Evora) ประเทศโปรตุเกส (Portugal)วิหารกระดูกแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 15 โดยพระในนิกายฟรังซิสกัน (ฟรานซิสกัน) ซึ่งเป็น เป็นกลุ่มคณะนักบวชคาทอลิกที่นักบุญฟรังซิสแห่งอัสซีซีได้ก่อตั้งขึ้น ในปี ค.ศ. 1228  ฝาหนัง ตามคานของวิหารแห่งนี้ถูกประดับและสร้างขึ้นมาจากกระดูกของมนุษย์กว่า5,000 คน  ในวิหารนั้นยังมีโครงกระดูก มนุษย์ 2 ร่าง แหวน ห้อยอยู่ตรงฝาหนัง ของห้องข้างหนึ่งด้วย
โดยตำนานมีการเล่าเรียงกันมาว่า ในอดีตมี สตรีผู้นึงซึ่งเคร่งครัด ยึดมั่น ในหลักศาสนาของคาทอลิก  แต่ถึงกระนั้นเองนางได้ถูกสามีผู้แสนร้ายกาจ กับลูกชายผู้ทารุณของเธอเองนั้นเฆี่ยนตีจนตาย ก่อนจะตาย เธอได้ลั่นวาจาสาปแช่งพวกเขาไว้ว่า เมื่อเขาทั้งคู่ตายลงไปขอให้วิญญาณของเขาทั้ง 2 นั้นจงตกลงไปอยู่ในนรก แม้แต่พื้นพสุธาก็ไม่ยอมรับ ไม่ยินดีรับร่างของพวกเขา ต่อมาอีกไม่นานมากนัก เขาทั้ง 2 พ่อลูกก็ตายลงไปชาวบ้านชาวเมือง ที่นั่น พยายามจะขุดหลุมเพื่อฝังเขาแต่ขุดไปที่ไหนก็เจอแต่หินและหิน ทำให้ชาวบ้านทั้งหลายจนปัญญา พวกเขาเลยตัดสินใจนำซากศพ ทั้ง 2 ร่างไปห้อยแหวนไว้บนฝาผนังของ วิหารดังกล่าวไว้และให้เป็นที่สำหรับให้นักบวชไว้ใช้ปลง ในระหว่างทำสมาธิ
คำสาปนี้เป็นที่น่าขนลุกเป็นอย่างยิ่ง ผู้ใดอย่าคิดกระทำชั่วต่อผู้อื่นระวังจะเจอคำสาปแช่ง









cr.Knowledge

เจาะลึกโฮป ไดมอนด์ (Hope Diamond) หรือ "เพชรนางสีดา"

เจาะลึกโฮป ไดมอนด์ (Hope Diamond) หรือ "เพชรนางสีดา"


ตำนานและประวัติของเพชรโฮป
   

ต้นกำเนิดของเพชรน้ำงามสีน้ำเงินลึกล้ำอันหาที่ติได้ยากเม็ดนี้ ยังคงคลุมเครืออยู่มากเพราะไม่มีบันทึกไว้แน่นอน แต่เป็นที่รู้จักกันว่าคนแรกที่ได้ครอบครองคือนักค้าเพชรพลอยผู้ช่ำชองการเดินทางชาวฝรั่งเศสสมัยกลางคริสตศตวรรษที่ 17 ชื่อ ชอง แบบติสต์ ตาแวร์นิเยร์(Jean Baptist Tavernier) ระหว่างการเดินทางมายังประเทศอินเดีย ตาแวร์นิเยร์ค้นพบหินที่มีค่าที่มองดูภายนอกเหมือนแซฟไฟร์เม็ดใหญ่แต่ที่จริงแล้วคือเพชรดิบสีน้ำเงินขนาด 112 3/16 กะรัต ซึ่งนับว่าใหญ่ที่สุดในโลกในบรรดาเพชรสีน้ำเงินในอดีตที่เคยพบมา

จุดกำเนิดอาถรรพ์อยู่ที่เรื่องเล่าที่ว่า แท้จริงแล้วเพชรถูกขโมยมาจากพระเนตร (บางที่ก็ว่าจากพระนลาฏ) ของเทวรูปนางสีดาซึ่งเป็นร่างที่พระนางลักษมีชายาของพระวิษณุที่ชาวอินเดียเคารพนับถืออย่างสูงแปลงลงมาจุติ ทำให้เทพเจ้าไม่พอพระทัยและสาปแช่งมนุษย์ผู้ใดก็ตามที่บังอาจครอบครองสมบัติชิ้นนี้ อย่างไรก็ตาม มีผู้แสดงความคิดเห็นคัดค้านว่าตำนานนี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องจริง เนื่องจากรูปร่างของเพชรดิบสีน้ำเงินไม่เหมาะที่จะเป็นอัญมณีประดับที่พระเนตร(หรือพระนลาฏ) ของเทวรูปเลย แต่ไม่ว่าคำสาปแช่งจะมีอยู่จริงหรือไม่ ข้อเท็จจริงที่จะได้เล่าต่อไปก็ล้วนชี้ให้เห็นว่าบรรดาเจ้าของเพชรอาถรรพ์ต่างก็ประสบชะตากรรมเลวร้ายทั้งสิ้น

หลังจากที่ตาแวร์นิเยร์เดินทางกลับประเทศฝรั่งเศส เขาได้ขายเพชรเม็ดใหญ่นี้ให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งราชวงศ์บูร์บอง และเมื่ออายุได้ 84 ปี ตาแวร์นิเยร์ก็เสียชีวิตอย่างลึกลับที่รัสเซีย โดยมีข่าวลือว่าเขาถูกหมาป่าฉีกร่างจนตาย นับเป็นการสังเวยครั้งแรกให้แก่อาถรรพ์เพชรโฮป

เมื่อเพชรโฮปอยู่ในความครอบครองของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 สุริยกษัตริย์ผู้เรืองโรจน์ได้มีรับสั่งให้เจียระไนเพชรใหม่อีกครั้ง เนื่องจากการเจียระไนครั้งแรก ช่างฝีมือเน้นเรื่องขนาดมากกว่าความงามของน้ำเพชร ครั้งนี้พระองค์ทรงให้ตัดแบ่งเพชรออกเป็น 3 ส่วน ชิ้นแรกนั้นหายสาปสูญไป ส่วนอีกสองชิ้น ชิ้นหนึ่งได้รับการเจียระไนเป็นรูปหัวใจขนาด 67 1/8 กะรัต และใช้เป็นเพชรประดับประจำราชวงศ์ฝรั่งเศสมาอีกนับทศวรรษในชื่อ "เพชรมงกุฏสีน้ำเงิน" (Blue diamond of the crown) หรือ "สีน้ำเงินแห่งฝรั่งเศส" (French Blue) ซึ่งในเวลาต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นเพชรโฮป ส่วนเพชรชิ้นสุดท้ายไม่มีหลักฐานแน่ชัดแต่เชื่อว่าคือเพชรที่เรียกว่า "บรันสวิก บลู "

เวลาผ่านไป ความโชคร้ายก็เริ่มคืบคลานเข้าครอบงำสมาชิกราชวงศ์และผู้ที่เกี่ยวข้องกับเพชรทีละน้อย เสนาบดีคลัง นิโคลัส ฟูเก ที่เคยหยิบยืมเพชรไปใส่ ในที่สุดก็ต้องออกจากตำแหน่ง ทั้งยังต้องโทษติดคุก แต่ที่ร้ายไปกว่านั้น คือชะตากรรมของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระราชินีมารี อังตัวเนตต์ที่ได้รับสืบทอดเพชรแห่งหายนะ ทั้งสองพระองค์ถูกตัดพระเศียรด้วยกิโยตินอย่างน่าสยดสยอง ดังที่จารึกอยู่ในประวัติศาสตร์การปฏิวัติอันนองเลือดของฝรั่งเศสในปีคริสตศักราช 1789 และเพชรมรณะเม็ดนี้ก็ได้หายสาปสูญไปในเหตุการณ์วุ่นวายครั้งนี้ด้วย

ต่อมาในปี 1813 ณ กรุง ลอนดอน นายหน้าค้าเพชรนาม ดาเนียล เอเลียสัน (Daniel Eliason) ได้เพชรสีน้ำเงินเม็ดหนึ่งขนาด 44 กะรัตมาไว้ในครอบครอง ถึงแม้รูปร่างลักษณะจะไม่เหมือนเดิม แต่ด้วยความงามที่เป็นหนึ่งไม่มีสอง ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นเชื่อกันว่า มันก็คือเพชรน้ำเงินแห่งฝรั่งเศสที่ถูกเปลี่ยนรูปร่างไปเพื่อให้สะดวกต่อการขนย้ายข้ามชาติอย่างลับๆ กล่าวกันว่าผู้ที่ทำการเจียระไนคือ วิลเฮล์ม ฟาลส์ (Wilhlem Fals) นักเจียระไนชาวฮอลแลนด์ก็มีจุดจบอย่างน่าเศร้า ถูกบุตรชายของตนเองขโมยเพชรล้ำค่าไปจนตรอมใจตาย ในขณะที่บุตรคนนั้นในภายหลังก็ได้ฆ่าตัวตายอย่างไม่ทราบสาเหตุ

มีหลักฐานจากบางแหล่งว่าพระเจ้าจอร์จที่ 4 แห่งราชวงศ์อังกฤษก็เป็นพระองค์หนึ่งที่เคยได้ครอบครองเพชรอาถรรพ์ และทางราชวงศ์ต้องขายมันไปเมื่อสิ้นพระชนม์เพื่อจ่ายหนี้ที่มีอยู่มหาศาล จากนั้นเพชรก็ถูกเปลี่ยนมือไปเรื่อยๆ จนในปีคริสตศักราช 1939 เฮนรี ฟิลิปโฮป (Henry Philip Hope) เจ้าของมรดกบริษัทการธนาคารก็ซื้อเพชรสีน้ำเงินเม็ดนี้ไว้ เพชรมงกุฏแห่งฝรั่งเศสจึงได้กลายเป็นเพชรประจำตระกูลโฮป และได้ชื่อว่า "เพชรโฮป" นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

เรื่องเล่าว่ากันว่าตระกูลโฮปที่เคยร่ำรวย ต้องประสบมรสุมชีวิตและลงท้ายด้วยการล้มละลายเนื่องจากถูกคำสาปของเพชร ซึ่งตามข้อเท็จจริงมีอยู่ว่าหลังจากเฮนรี ฟิลิป โฮป ผู้ไม่มีบุตร เสียชีวิตลง เพชรโฮปได้ตกทอดเป็นมรดกไปถึงสมัยเหลนของเขาคือลอร์ด ฟรานซิส โฮป (Lord Francis Hope) ซึ่งเป็นนักพนันตัวยง เขาได้ผลาญเงินของตระกูลไปกับการพนัน จนในที่สุดก็ต้องขายเพชรเพื่อใช้หนี้และตระกูลโฮปต้องเผชิญกับความลำบากไปอีกหลายชั่วอายุคน




อีกครั้งที่เพชรโฮปได้เดินทางไปทั่ว ผ่านพระหัตถ์ของเจ้าชายคานิตอฟสกีแห่งรัสเซีย ซึ่งทรงได้มอบเพชรเป็นของกำนัลแก่นางละครที่โฟลีส์ แบแย (Folies Bergere) คนเดียวกับที่พระองค์ทรงยิงจนเสียชีวิตในอีกไม่กี่วันต่อมา ส่วนตัวเจ้าชายก็ถูกพวกกบฏแทงสิ้นพระชนม์ตามไปติดๆ ไปจนถึงชาวกรีกคนหนึ่งชื่อ ไซมอน มอนธะริเดส (Simon Montharides)ที่ซื้อเพชรโฮปไว้แต่ก็ต้องประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนเสียชีวิตทั้งครอบครัว ถึงปีคริสศักราช 1908 สุลต่านอับดุล ฮามิดที่ 2 แห่งตุรกี (Abdul-Hamid II) ที่ได้ครอบครองเพชรเพียงสองสามเดือนก็ถูกรัฐประหารปลดออกจากตำแหน่ง และในปลายปีถัดมา นายหะบิบ เจ้าของเพชรชาวอียิปตคนใหม่ก็เสียชีวิตจากเรืออัปปาง ที่ช่องริโอ

ผู้ครอบครองเพชรโฮปคนต่อมาคือ นางเอวาลีน วอลซ์ แมคลีน (Evalyn Walsh Mclean) ภรรยานายเอ็ดเวิร์ด แมคลีน (Edward Mclean) เจ้าของหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ บุตรชายของนางถูกรถชนเสียชีวิต และต่อมาไม่นานนายเอ็ดเวิร์ดก็กลายเป็นคนวิกลจริตและจบชีวิตในโรงพยาบาลโรคประสาท

เมื่อเริ่องราวร้ายๆดูจะเกิดขึ้นติดต่อกันไม่หยุดหย่อน ในที่สุดนายแฮร์รี่ วินสตันเจ้าของคนสุดท้ายจึงตัดสินใจบริจาคเพชรโฮปให้แก่สถาบันสมิธโซเนียน (Smithsonian Institution) ที่วอชิงตัน ดี ซี ในปี 1958 ซึ่งเพชรโฮปได้อยู่อย่างสงบที่นั่นจนถึงปัจจุบันนี้


 



cr.SGS สถาบันอัญมณีวิทยา